วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔ บาตรพระพุทธเจ้าช่วยปัดเป่าอุปัทวะ

 

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า

 

ตอนที่ ๔ บาตรพระพุทธเจ้าช่วยปัดเป่าอุปัทวะ ?

ที่มาภาพ  https://www.pinterest.com/pin/819514463435595838/

 

หลังจากตรัสรู้ธรรม ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก

     หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเสวยวิมุตติสุขแล้ว เสด็จเดินทางไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันจำพรรษาที่ ๑ เมื่อออกพรรษาแล้วเดินทางไปโปรดชฏิล ๓ พี่น้องที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แล้วพระพุทธองค์เสด็จมาพร้อมพระอรหันต์พันกว่ารูปที่ลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่มด้านทิศตะวันตกของกรุงราชคฤห์ เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวารตามปฏิญญาที่เคยให้ไว้

เมื่อพระราชาพิมพิสารพร้อมด้วยบริวารแสนกว่าคนบรรลุธรรมและถึงไตรสรณาคมน์แล้ว ได้เสด็จผ่านราชคฤห์เพื่อรับสวนไผ่เวฬุวัน เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาและประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์นั้นเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน

ที่มาภาพ https://in.pinterest.com/pin/8092474301803889/

 

กรุงเวสาลี จากเมืองที่รุ่งเรือง ก็เกิดอุปัทวะภัยร้ายแรง

 ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากกรุงราชคฤห์นั้นไปราว ๘ โยชน์(ราว ๑๒๘ กม.)และต้องข้ามแม่น้ำคงคาไปนั้น  มีเมืองของเจ้าลิจฉวี ชื่อว่า กรุงเวสาลี ในแคว้นวัชชี ซึ่งเป็นเมืองมั่นคงไพบูลย์ มีคนมากมาย มีข้าวปลาอาหารหาได้ง่าย เจริญรุ่งเรื่องด้วยอาราม อุทยาน สถานที่อยู่ บริวารและสมบัติ แวดล้อมรอบด้วยปราการ ๓ ชั้น ระหว่างคาวุต(๔ กม.)หนึ่ง ๆ เพราะเหตุที่นครนั้นถูกขยายให้กว้างขวางออกบ่อย ๆ จึงเกิดนามว่า เวสาลี

และในกรุงเวสาลีนั้นมีเจ้าอยู่ถึง ๗,๗๐๗ พระองค์ พระยุพราชเสนาบดีและภัณฑาคาริกเป็นต้นก็มีจำนวนเหมือนกัน ดังนั้นในเมืองนั้นยังมีปราสาท ๗,๗๐๗ หลัง  มีเรือนยอด ๗,๗๐๗ หลัง มีอาราม ๗,๗๐๗ อาราม  มีสระโบกขรณี ๗,๗๐๗ นับเป็นพระนครที่เจริญรุ่งเรืองมาก

         ต่อมากรุงเวสาลี นครหลวงแห่งแคว้นวัชชี เกิดภัยพิบัติอย่างร้ายแรง ๓ อย่าง คือ ๑.) ทุพภิกขภัย (ข้าวยากหมากแพง)  ๒.) อมนุสสภัย (ภูติผีปีศาจทำร้าย) ๓.) โรคภัย (เกิดโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คน) โดยเริ่มจากข้าวยากหมากแพงก่อน เนื่องจากเกิดฝนแล้งติดต่อกันหลายปี จนข้าวกล้าแห้งตายเพราะถูกแดดแผดเผา ผู้คนจึงอดอยากล้มตายจำนวนมาก คนยากจนเริ่มตายก่อนก็กลายเป็นซากศพอนาถาไร้คนจัดการ ถูกทิ้งเกลื่อนนคร ต่อมาก็ถูกภูตผีปีศาจทำร้าย เพราะพวกอมนุษย์เมื่อได้กลิ่นซากศพก็พากันเข้าสู่นคร ทำอันตรายแก่หมู่มนุษย์ ทำให้คนตายเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีก จากนั้นก็เกิดโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คน เพราะเมื่อไม่มีความสะอาดเพราะปฏิกูลแพร่กระจายไป โรคระบาดก็เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนล้มตายเหลือที่จะคณานับได้

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/457889487098767232/

 

พระบาทแรกวางลงริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฝนโบกขรพรรษตกลงมาทันใด

         เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น พระราชาและชาวเมืองจึงได้หาทางแก้ไขหลายทาง สุดท้าย จึงตกลงกันที่จะไปกราบอาราธนานิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาที่เมืองเวสาลี เพื่อช่วยทำให้อุปัทวะร้ายสงบลง เมื่อกราบอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดได้สมความตั้งใจ ทั้งพระเจ้าพิมพิสารและเจ้าวัชชีจึงทำสักการะและต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางเสด็จของพระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ จัดโปรยดอกไม้ตลอดเส้นทางทั้ง ๒ ฝั่งระหว่างกรุงราชคฤห์ จนข้ามแม่น้ำคงคาจนไปถึงกรุงเวสาลีตามลำดับ

มีเหตุการณ์ที่สำคัญ พอพระผู้มีพระภาคเจ้ายกพระบาทแรกวางลงริมฝั่งแม่น้ำคงคา ฝนโบกขรพรรษก็โปรยเม็ดลงมา ชนเหล่าใดต้องการจะเปียก ชนเหล่านั้นเท่านั้นย่อมเปียก ผู้ไม่ต้องการเปียกก็ไม่เปียก ในที่ทุกแห่ง น้ำย่อมไหลไปเพียงแค่เข่า แค่ขา แค่สะเอว แค่คอ ซากศพทั้งปวงถูกน้ำพัดส่งลงสู่แม่น้ำคงคา พื้นดินก็สะอาดสะอ้าน

ที่มาภาพ https://web.facebook.com/sookJaii99/photos/a.152847505373620/562970831027950/

 

น้ำมนต์จากบาตรพระพุทธเจ้าช่วยปัดเป่าอุปัทวะ ?

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงเมืองเวสาลี พระอินทร์พร้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมากได้มาเฝ้าในสถานที่นั้น ด้วยพุทธานุภาพและเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่เสด็จมา ทำให้พวกอมนุษย์ส่วนหนึ่งต้องหลบหนีออกจากเมืองไป เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงนอกพระนครเมืองเวสาลี พระพุทธองค์ได้ตรัสรัตนสูตรและให้พระอานนท์จำไปเจริญพุทธมนต์พร้อมกับสิ่งที่เป็นอุปกรณ์สำคัญก็คือ บาตรสิลาของพระพุทธเจ้านั้นเอง[1] (เถโร          สตฺถารา ทินฺนํ รตนสุตฺตํ อุคฺคณฺหิตฺวา สตฺถุ เสลมยปตฺเตน อุทกํ อาทาย นครทฺวาเร ฐิโต)

ท่านพระอานนท์จึงไปสาธยายพระปริตรนี้รอบเมือง ได้เที่ยวเดินไประหว่างปราการ ๓ ชั้นแห่งกรุงเวสาลีพร้อมกับพวกเจ้าลิจฉวีราชกุมาร ทำพระปริตรตลอดสามยาม เพราะกลัวต่ออานุภาพพระปริตร พวกอมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ได้หลบหนีไปหมดจนโรคในกายชาวเมืองจึงหายสงบลง  จากนั้นชาวเมืองได้มาประชุมกันที่สัณฐาคารโรงประชุมของพระนคร และได้นิมนต์พระพุทธองค์เสด็จมายังเมืองนี้ จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสรัตนปริตรนี้แก่พุทธบริษัทที่มาประชุมกันในที่นั้น ตามที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาปรมัตถโชติกา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ พรรณนารัตนสูตร ความว่า

“ในวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงกรุงเวสาลีนั่นเอง รัตนสูตรนี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสใกล้ประตูกรุงเวสาลี เพื่อกำจัดอุปัทวะเหล่านั้น ท่านพระอานนท์ก็เรียนเอา เมื่อจะกล่าวเพื่อเป็นปริตร [ป้องกันอุปัทวะ] จึงเอาบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำมา เดินประพรมไปทั่วพระนคร  (เอวํ ภควโต เวสาลิํ อนุปฺปตฺตทิวเสเยว เวสาลินครทฺวาเร เตสํ อุปทฺทวานํ ปฎิฆาตตฺถาย วุตฺตมิทํ รตนสุตฺตํ อุคฺคเหตฺวา อายสฺมา อานนฺโท ปริตฺตตฺถาย ภาสมาโน ภควโต ปตฺเตน อุทกมาทาย สพฺพนครํ อพฺภุกฺกิรนฺโต อนุวิจริฯ)

พอพระเถระกล่าวว่า ยงฺกิญฺจิ เท่านั้น พวกอมนุษย์ที่อาศัยกองขยะและที่ฝาเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในตอนแรก ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง ๔ ประตูทั้งหลาย ก็ไม่มีที่ว่าง อมนุษย์บางพวก เมื่อไม่ได้ที่ว่างที่ประตูทั้งหลาย ก็ทลายกำแพงเมืองหนีไป

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/535646949435126569/

 

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรัตนสูตรแก่มหาชน

พอพวกอมนุษย์พากันไปแล้ว ที่เนื้อตัวของพวกมนุษย์ทั้งหลาย โรคก็สงบไป พวกมนุษย์ทั้งหลาย ก็พากันออกมาบูชาพระเถระด้วยดอกไม้ของหอมเป็นต้นทุกอย่าง มหาชนเอาของหอมทุกอย่างฉาบทาสัณฐาคารที่ประชุม ท่ามกลางพระนคร ทำเพดานขจิตด้วยรัตนะ ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง ปูพุทธอาสน์ลง ณ ที่นั้นแล้วนำเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามา

พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าสู่สัณฐาคาร ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปูไว้ ทั้งภิกษุสงฆ์ คณะเจ้า และมนุษย์ทั้งหลายก็นั่ง ณ อาสนะที่เหมาะที่ควร แม้ท้าวสักกะ จอมทวยเทพก็ประทับนั่งใกล้กับเทวบริษัท ในเทวโลกทั้งสอง ทั้งเทวดาอื่น ๆ ด้วย แม้ท่านพระอานนทเถระ ก็เที่ยวเดินไปทั่วกรุงเวสาลี ทำอารักขาแล้ว ก็มาพร้อมกับชาวกรุงเวสาลี นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสรัตนสูตรนั้นนั่นแหละแก่ทุกคนแล”

จากเนื้อความที่ยกมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าพุทธานุภาพ เทวานุภาพ และอานุภาพพระปริตร ได้ช่วยให้ภัย ๓ ประการ คือ ๑.) ทุพภิกขภัย (ข้าวยากหมากแพง)  ๒.) อมนุสสภัย (ภูติผีปีศาจทำร้าย) ๓.) โรคภัย (เกิดโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คน) ได้บรรเทาเบาบางจนหมดสิ้นไป โดยเริ่มจากอมนุสสภัย จากนั้นโรคภัยก็สงบระงับดับไป เมื่อภัยสองอย่างหมดไป ผู้คนมาเป็นปกติ  ภัยที่สามคือทุพภิกขภัย ย่อมหมดไปได้เช่นกัน

ที่มาภาพ https://web.facebook.com/lahoremuseumofficial/posts/3267546309948527?_rdc=1&_rdr

และบาตรสิลาพระพุทธเจ้าก็นับได้ว่ามีส่วนสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมื่อพระอานนท์นำบาตรพรพุทธเจ้าไปใช้ใส่น้ำรดหรือประพรมน้ำ(พร้อมสวด)พระปริตรพุทธมนต์ ไปพร้อมกัน จนทำให้เหตุการณ์คือ ๑.) อมุสสภัยและโรคร้ายในที่ต่างๆ ได้หมดไปในที่สุด ๒.) เมื่อพิเคราะห์ดู กว่าจะประพรมทั่วพระนครตลอด ๓ ยาม คือ ๑๒ ชั่วโมง และถ้าน้ำไม่หมดจากบาตรใช่เพียงบาตรใบเดียว จึงถือได้ว่าอัศจรรย์เหมือนกัน ซึ่งความอัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์บาตรพระพุทธเจ้านี้ ก็ตรงกับเรื่องราวและบันทึกที่ได้กล่าวถึงบาตรพระพุทธเจ้าที่มีความศักดิ์ตามหลักฐานที่จารึกไว้ในหลายแห่งอยู่เช่นกัน ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ?     

                                                                 โปรดติดตามตอนต่อไป

                                               



[1] สตฺถา สายํ นครทฺวาเร ฐตฺวา อานนฺทตฺเถรํ อามนฺเตสิ "อิมํ อานนฺท รตนสุตฺตํ อุคฺคณฺหิตฺวา ลิจฺฉวิกุมาเรหิ สทฺธึ วิจรนฺโต เวสาลิยํ ติณฺณํ ปาการานํ อนฺตเร ปริตฺตํ กโรหีติ. เถโร สตฺถารา ทินฺนํ รตนสุตฺตํ อุคฺคณฺหิตฺวา สตฺถุ เสลมยปตฺเตน อุทกํ อาทาย นครทฺวาเร ฐิโต, ปณิธานโต ปฏฺฐาย ตถาคตสฺส "ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมตึส ปารมิโย ปญฺจ มหาปริจฺจาเค "โลกตฺถจริยา ญาตตฺถจริยา พุทฺธตฺถจริยาติ ติสฺโส จริยาโย ปจฺฉิมภเว คพฺภาวกฺกนฺตึ ชาตึ อภินิกฺขมนํ ปธานจริยํ โพธิปลฺลงฺเก มารวิชยํ สพฺพญฺญุตญาณปฺปฏิเวธํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ นว โลกุตฺตรธมฺเมติ สพฺเพปิเม พุทฺธคุเณ อาวชฺชิตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา ติยามรตฺตึ ตีสุ ปาการนฺตเรสุ ปริตฺตํ กโรนฺโต วิจริ.