วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๓ บาตรสิลามีที่มาอย่างไร ?

 

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า

 

ตอนที่ ๓ บาตรสิลามีที่มาอย่างไร ?

 

บาตรสิลาพระพุทธเจ้า ที่มหาราชทั้ง ๔ นำมาถวาย สมัยกุษาณะ ศิลปะคันธาระ

ที่มาภาพ https://www.bmimages.com/preview.asp?image=01613684118&itemw=4&itemf=0001&itemstep=1&itemx=31

 

บาตรใบที่สอง บาตรสิลาสีดังถั่วเขียว

      หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ แล้วเสวยวิมุตติสุขในสถานที่ต่างๆ ครั้นไปประทับนั่งที่ต้นไม้ราชายตนะต้นเกต สันนิฐานว่า ทางด้านทิศใต้ของต้นโพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา สมัยนั้น พาณิช ๒ คนชื่อ ตปุสสะ และภัลลิกะ เดินทางจากอุกกลชนบท จะไปยังมัชฌิมประเทศ ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม ผู้อันเทวดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตนในชาติก่อน กั้นเกวียนไว้ ให้มีความอุตสาหะในการจัดพระกระยาหารถวายแด่พระศาสดา จึงถือเอาข้าวตูก้อนและขนมน้ำผึ้ง (ขนมหวาน) แล้วกราบทูลให้ทรงรับ แล้วน้อมถวายพระศาสดาแล้วยืนอยู่ แต่เพราะบาตรดินที่ท้าวมหาพรหมถวายได้อันตรธานหายไปไม่ปรากฏตั้งแต่ในวันรับข้าวปายาส พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงดำริว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รับที่มือ เราจะรับที่อะไรหนอ

The offering bowls Buddha in gray schist relief Gandhara, Swat, I-III cent, 38x 27 cm

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/389772542735695983/

 

 

ดังปรากฏในคัมภีร์ชาตกัฏฐกถา และคล้ายกันกับในอรรถกถาวิสุทธชนวิลาสินี    ขุททกนิกาย อปทานว่า

“ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์จากทิศทั้ง ๔ รู้พระดำริของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงน้อมถวายบาตรทั้งหลายอันแล้วด้วยแก้วอินทนิลพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงน้อมถวายบาตร ๔ ใบ อันแล้วด้วยศิลามีสีดังถั่วเขียว เพื่อจะทรงอนุรักษ์ศรัทธาของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงทรงรับบาตรแม้ทั้ง ๔ ใบ ทรงวางซ้อน ๆ กันแล้วทรงอธิษฐานว่า จงเป็นบาตรใบเดียว บาตรทั้ง ๔ ใบจึงมีรอย ปรากฏอยู่ที่ขอบปาก รวมเข้าเป็นใบเดียวกัน โดยประมาณบาตรขนาดกลาง (ปุน มุคฺควณฺณเสลมเย จตฺตาโร ปตฺเต อุปนาเมสุงฯ ภควา จตุนฺนํปิ เทวปุตฺตานํ อนุกมฺปาย จตฺตาโร ปตฺเตปิ ปฏิคฺคเหตฺวา อุปรุปริ ฐเปตฺวา เอโก โหตูติ อธิฏฺฐหิฯ จตฺตาโรปิ มุขวฏฺฏิยํ ปญฺญายมานา เลขา หุตฺวา มชฺฌิเมน ปมาเณน เอกตฺตํ อุปคมึสุฯ)

 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระกระยาหารที่บาตรอันล้วนด้วยศิลามีค่ามากนั้น เสวยแล้วได้ทรงกระทำอนุโมทนา พาณิชพี่น้องสองคนนั้นถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ ได้เป็น ทเววาจิกอุบาสก คืออุบาสกผู้กล่าวถึงสรณะสอง”

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/bibuart/the-offering-bowls-buddha-gandhara/

 

บาตรสิลาเขียวซ้อนกันเป็นใบเดียว

จากข้อความว่า “ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงน้อมถวายบาตร ๔ ใบ อันแล้วด้วยศิลามีสีดังถั่วเขียว เพื่อจะทรงอนุรักษ์ศรัทธาของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงทรงรับบาตรแม้ทั้ง ๔ ใบ ทรงวางซ้อน ๆ กันแล้วทรงอธิษฐานว่า จงเป็นบาตรใบเดียว บาตรทั้ง ๔ ใบจึงมีรอย ปรากฏอยู่ที่ขอบปาก รวมเข้าเป็นใบเดียวกัน โดยประมาณบาตรขนาดกลาง”

พอจะสันนิฐานสรุปได้ว่า บาตรพระเจ้า ๑)เป็นบาตรสิลาเขียว ๒)มีรอยการซ้อนๆ ๔ ชั้นที่ขอบปากบาตร และ ๓) เป็นบาตรขนาดกลาง

ที่มาภาพ https://www.heritage-print.com/gautama-buddha-rajagriha-offering-dust-c2nd-14861636.html

 

บาตรพระพุทธเจ้า บาตรขนาดกลาง ขนาดไหน?

จากข้อความบาลีว่า มชฺฌิเมน ปมาเณน (โดยประมาณบาตรขนาดกลาง) ในสิกขาบทวิภังค์  ได้ระบุขนาดของบาตรไว้ สรุปได้ดังนี้

บาตรมี ๓ ขนาด คือ บาตรขนาดใหญ่  บาตรขนาดกลาง และบาตรขนาดเล็ก    ๑)บาตรขนาดใหญ่ จุข้าวสุกแห่งข้าวสารกึ่งอาฬหก[1](๒ทะนาน) ของเคี้ยวเท่าส่วนที่ ๔ กับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น ๒)บาตรขนาดกลาง จุข้าวสุกแห่งข้าวสาร ๑ นาฬี(ทะนาน/๒กอบมือ) ของเคี้ยวเท่าส่วนที่ ๔ กับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น  ๓)บาตรขนาดเล็ก จุข้าวสุกแห่งข้าวสาร ๑ ปัตถะ(กอบมือ) ของเคี้ยวเท่าส่วนที่ ๔ กับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น ส่วนบาตรที่ใหญ่กว่านั้นเป็นบาตรที่ใช้ไม่ได้ และเล็กกว่านั้นเป็นบาตรที่ใช้ไม่ได้

ในหนังสือ วินัยมุข เล่ม ๒ ท่านอธิบายเรื่องขนาดของบาตรไว้ว่า“ตามคำในเรื่องเมณฑกเศรษฐีในอรรถกถาธรรมบท ตอนมลวรรค ข้าวสารนาฬีหนึ่ง หุงเป็นข้าวสุก  แจกกัน ๕ คน ส่วนที่คนหนึ่งได้ พอกินอิ่ม แต่ไม่พอแก่ ๒ คน โดยนัยนี้ บาตรขนาดเล็ก จุข้าวสุก ๒ คนกินเหลือ กิน ๓ คนไม่พอ   บาตรขนาดกลาง จุข้าวสุกกินได้ ๕ คน บาตรขนาดใหญ่ จุข้าวสุกกินได้ ๑๐ คน.

ที่มาภาพ https://www.livehistoryindia.com/story/history-daily/decoding-the-kushanas/

 

และในหนังสือ วินัยวินิจฉัย แบบประกอบนักธรรมชั้นตรี ได้กล่าวว่า ขนาดของบาตร ๓ คือ :-

             ๑. อย่างเล็กใส่ข้าวเต็มบาตร ฉันได้องค์เดียว.

             ๒. อย่างกลางจุฉันได้ ๒ องค์ หรือใส่ผ้าสังฆาฏิได้.

             ๓. อย่างโตจุฉันได้ ๔ องค์.

จากข้อความที่ยกมาข้างต้นทั้งหมดและหลักฐานทางโบราณวัตถุ พอจะสันนิฐานได้ว่า ๑)ขนาดบาตรพระพุทธเจ้าเป็นบาตรขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สามารถใส่ข้าวสุกได้ ๑ ทะนาน ถ้าใส่ภัตตาหารเต็มบาตรจะฉันได้ ๒ องค์ หรือใส่ผ้าสังฆาฏิได้ ๒)เป็นบาตรศิลาสีเขียวแน่นอน(ว่าตามหลักฐานบาลี) และ๓)ไม่ใช่บาตรขนาดใหญ่โตหรือหนักมากเกินไป เหตุผลเพราะว่า พระอุปัฏฐากทั่วไป(ก่อนจะเป็นพระอานนท์ มีพระที่เป็นพุทธุปัฏฐากหลายรูป) สามารถถือไปได้พร้อมกันทั้งบาตรและจีวร หรือบางที่พระราชา เศรษฐีหรือคนทั่วไปก็สามารถถือได้ เช่นเจ้าชายนันทะเป็นต้นก็ถือบาตรมาตามส่งพระพุทธเจ้า สุดท้ายจึงได้บวชไป

เรื่องราวบาตรสิลาบริขารที่สำคัญของของพระพุทธเจ้าต่อนี้จากไปจะเป็นอย่างไร มีความน่าสนใจอะไรบ้างในเรื่องราวและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงใช้บาตรสิลาใบนี้บำเพ็ญพุทธกิจโปรดสัตว์โลก หรือที่เป็นส่วนที่ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์เช่นใช้ระงับโรค หรือ มีอานุภาพอย่างไร และบาตรสิลาใบนี้จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรหลังพุทธปรินิพพาน ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านโปรดติดตาม เพื่อช่วยกันวิเคราะห์และสืบค้นข้อมูลในตอนต่อๆ ไป

 

                                                                                โปรดติดตามตอนต่อไป

ตอนที่ ๔ บาตรพระพุทธเจ้าช่วยปัดเป่าอุปัทวะ

https://panyainpang09.blogspot.com/2021/07/blog-post.html



[1]         มาตราตวง

         ๕ มุฏฐิ [คือกำมือ] เป็น ๑ กุฑวะ [คือฟายมือ]

         ๒ กุฑวะ " ๑ ปัตถะ [คือกอบ]

         ๒ ปัตถะ " ๑ นาฬี [คือทะนาน]

         ๔ นาฬี " ๑ อาฬหก.

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าตอนที่ ๒ บาตรพุทธเจ้าบริขารในดอกบัวต้นกัป ?

 

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า

 

ตอนที่ ๒ บาตรพุทธเจ้าบริขารในดอกบัวต้นกัป ?

Gautama (พระพุทธเจ้า) เสด็จออกบวชจากพระราชวัง ศตวรรษที่ 2 – พบใน Loriyan Tangai ประเทศปากีสถาน (เดิมชื่อ Gandhara); หินดินดานดำ 48×54 ซม. พิพิธภัณฑ์อินเดีย กัลกัตตา

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/515943701065019788/

 

เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์

ตามหลักฐานพุทธประวัติ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัย ได้รับการดูแลอย่างดีจากพระบิดาสุทโธทนะ จนบารมีและญาณแก่กล้า ได้เห็นเทวทูตและนักบวช มีใจน้อมไปในการออกจากกาม แสวงหาบรรพชานั้นในคัมภีร์อรรถกถามโนรถปูรณี อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต กล่าวไว้ถึงตอนนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงเจริญวัยแล้ว เสวยสมบัติเหมือนเทพเจ้า เมื่อพระญาณแก่กล้าแล้ว ทรงเห็นโทษในกาม เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม จึงในวันที่พระราหุลกุมารประสูติ มีนายฉันนะเป็นพระสหาย ทรงขึ้นม้ากัณฐกะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทางประตูที่เทวดาเปิดให้ เสด็จเลยไป ๓ ราชอาณาเขต โดยตอนกลางคืนนั้นนั่นเอง ทรงบรรพชาที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที พอทรงรับธงชัยแห่งพระอรหันต์ ที่ท้าวฆฏิการมหาพรหมนำมาถวายเท่านั้น เป็นเหมือนพระเถระ ๑๐๐ พรรษา”


ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/577516352213176433/

ที่มาของบาตรดินใบแรก

เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช ทรงตัดโมลีถือเพศบรรพชา ณ ฝั่งแม่น้ำอโนมา ฆฏิการพรหมได้มาถวายอัฏฐบริขาร เมื่อทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวะอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตแล้วเดินทางไปตามลำดับจนถึงกรุงราชคฤห์ ก็ทรงใช้บาตรดินใบนั้น ซึ่งถือเป็นภาชนะสำคัญในการภิกขาจารหรือเดินรับอาหารจากผู้ศรัทธาเพื่อดำรงชีพ เช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย

แผนที่กรุงราชคฤห์ เส้นทางก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ที่มาภาพ http://bangkrod.blogspot.com/2014/01/blog-post_7.html

จากภาพสันนิฐานว่า พระองค์น่าจะได้เสด็จมาจากอโนมานทีแล้วทรงเดินทางผ่านสวนป่าเวฬุวันอันน่ารื่นรมย์ เข้าเมืองราชคฤห์ด้านทิศเหนือฝั่งประตูป่าสีตวัน จนชาวเมืองราชคฤห์แตกตื่นโจษจันกันในร่างกายอันผ่องใสและบุคลิกที่สงบสำรวมสง่างามน่าเลื่อมใสยิ่งของพระองค์ ในขณะที่เสด็จเที่ยวรับภิกขาจากชาวเมืองราชคฤห์

 


 บาตรพุทธเจ้าบริขารในดอกบัวต้นกัป ?

บาตรดินของพระพุทธเจ้านั้น มีสิ่งที่น่าสนใจมากคือ ที่มาของบาตรดินใบแรก ซึ่งเป็นหนึ่งในบริขาร ๘ ที่พรหมนำมาถวาย นับเป็นบริขารพิเศษอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ซึ่งเกิดในกลีบปทุมของดอกบัวที่บังเกิดขึ้นครั้งแรก ในเวลาที่กัปเกิดขึ้นและเกิดเป็นแผ่นดินยังตั้งอยู่ และดอกบัวนั้นยังเป็นนิมิตหมายว่าจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นกี่พระองค์ในภัทรกัปนั้นๆ อีกด้วย

หลักฐานบริขารที่เกิดในกลีบปทุม มีในคัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย อปทานได้กล่าวถึงพระโพธิสัตว์หลังจากเป็นพระเวสสันดรไว้ว่า “จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในภพดุสิต จุติจากภพดุสิตนั้นด้วยการอาราธนาของเหล่าเทวดา บังเกิดในสักยตระกูล  เพราะญาณแก่กล้าจึงละทิ้งราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเสีย แล้วตัดกำพระเกศาให้มีปลายเสมอกัน ด้วยดาบที่ลับไว้อย่างดี ที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที รับบริขาร ๘ อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ซึ่งเกิดในกลีบปทุม ในเวลาที่กัปยังตั้งอยู่ซึ่งพระพรหมนำมาให้แล้วบรรพชา เพราะญาณทัสสนะคือพระโพธิญาณยังไม่แก่กล้าก่อน จึงไม่รู้จักทางและมิใช่ทางแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า”

หลักฐานบาลีอรรถกถา “อโนมานทีตีเร สุนิสิเตนาสินา สมกุฏเกสกลาปํ           ฉินฺทิตฺวา พฺรหฺมุนา อานีเต อิทฺธิมเย กปฺปสฺส สณฺฐานกาเล ปทุมคพฺเภ นิพฺพตฺเต อฏฺฐ- ปริกฺขาเร ปฏิคฺคเหตฺวา ปพฺพชิตฺวา”

แผนที่กรุงราชคฤห์ จุดสำคัญๆ ในสมัยพุทธกาล

            เมื่อข่าวนั้นได้ไปถึงพระเจ้าพิมพิสาร จึงเสด็จทันมาพบพระโพธิสัตว์ที่เงื้อมเขาบัณฑวะ ด้านทิศตะวันตกของกรุงราชคฤห์ ทรงเสวยพระกระยาหารที่เงื้อมเขาชื่อปัณฑวะ และประทานปฏิญญาแด่พระราชา เมื่อประทานปฏิญญา ๕ ประการแด่พระเจ้าพิมพิสาร หลังจากที่พระราชาจะขอถวายราชสมบัติ แต่พระโพธิสัตว์ทรงปฏิเสธไม่ขอรับ เพราะพระองค์มีเป้าหมายเพื่อแสวงหาโมกขธรรมหาทางพ้นทุกข์จากสังสารวัฏนั้น

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/428123508326167921/

 

ศึกษาธรรมจนมีความรู้เสมออาจารย์

หลังพระองค์ก็ได้ไปศึกษาจากอาจารย์อาฬารดาบสและอุทกดาบส ซึ่งคาดว่าน่าจะมีอาศรมอยู่ในบริเวณภูเขากรุงราชคฤห์นั้นเอง จนสามารถบรรลุธรรมได้เหมือนอาจารย์ ถูกชักชวนให้บริหารหมู่คณะและแต่งตั้งให้เป็นศิษย์เสมอกับตนและบูชาด้วยการบูชาอย่างยิ่ง แต่พระองค์มีความคิดเห็นว่า ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน ย่อมเป็นไปเพียงเพื่ออุบัติในอากิญจัญญายตนพรหมเท่านั้น พระองค์ไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจากธรรมนั้น จึงหลีกไปที่อุรุเวลาเสนานิคม


ที่มาภาพ https://www.dmc.tv/expo/show.php?id=19758

 

พระปัญจวัคคีย์ออกบวชตาม

หลังจากนั้นพระองค์ทดลองบำเพ็ญทุกกรกิริยาหาทางตรัสรู้ด้วยพระองค์เองถึงเกือบ ๖ ปี แต่ก็ไม่พบหนทางตรัสรู้ จึงได้กลับมาดำเนินทางสายกลางฉันภัตตาหารเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นใหม่ ทำให้พระปัญจวัคคีย์ซึ่งพระโกณฑัญญะเป็นหัวหน้าที่ได้ออกบวชตามเจ้าชายสิทธัตถะไม่เข้าใจคิดว่าพระองค์ทรงคลายความเพียรเวียนมาเป็นคนมักมาก จึงได้หนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน


ที่มาภาพ https://www.dmc.tv/expo/show.php?id=19758

 

บาตรดินได้อันตรธานหายไป

คืนก่อนวันวิสาขะพระองค์ทรงสุบินหลายอย่างและทรงทำนายด้วยพระองค์เองว่าจะตรัสรู้ และเมื่อถึงรุ่งเช้า จึงไปประทับนั่งที่ต้นนิโครธริมฝั่งแม่น้ำ กระทั่งนางทาสีมาพบสำคัญว่าเป็นเทวดา จึงได้ไปบอกนางสุชาดาให้นำข้าวมธุปายาสมาถวาย เนื่องจากบาตรดินได้อันตรธานหายไปแล้ว[1][2] ในขณะนั้นพระองค์จึงทรงรับถาดทองใส่ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาในช่วงเช้าของวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ปรากฏหลักฐานคล้ายกันในคัมภีร์อรรถกถามธุรัตถวิลาสินี และวิสุทธชนวิลาสินี ขุททกนิกาย อปทาน ว่า เพราะบาตรได้อันตรธานหายไปในวันรับข้าวปายาส พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงดำริว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รับที่มือ เราจะรับที่อะไรหนอ (ภควา ปายาสปฏิคฺคหณทิวเสเยว ปตฺตสฺส อนฺตรหิตตฺตา "น โข ตถาคตา หตฺเถสุ ปฏิคฺคณฺหนฺติ, กิมฺหิ นุ โข อหํ ปฏิคฺคเณฺหยฺยนฺติ จินฺเตสิ.)


ที่มาภาพ https://www.dmc.tv/expo/show.php?id=19758

หลังจากนั้นได้สรงสนานพระวรกายที่ท่าน้ำสุปดิฏฐ์เสร็จก่อนแล้วจึงปั้นข้าวมธุปายาสเป็น ๔๙ ก้อนแล้วฉัน จากนั้นลอยถาดทองที่แม่น้ำเนรัญชราอธิฐานจิต ถ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำ และถาดทองได้ลอยไปทวนกระแสน้ำ

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/663506957580286566/

 ช่วงเวลาเย็น จึงได้เดินทางมาตามริมแม่น้ำเนรัญชรา พบต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา และได้นั่งสมาธิบนรัตนบัลลังก์ จนค้นพบทางสายกลางบรรลุญาณ ๓ ตามลำดับตั้งแต่ปฐมยามและตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจฉิมยามรุ่งอรุณขึ้นวันใหม่พอดี                                                                                 

 โปรดติดตามตอนต่อไป

ตอนที่ ๓ บาตรสิลามีที่มาอย่างไร ?https://panyainpang09.blogspot.com/2021/06/blog-post_30.html

ตอนที่ ๔ บาตรพระพุทธเจ้าช่วยปัดเป่าอุปัทวะ

https://panyainpang09.blogspot.com/2021/07/blog-post.html



[1] ภควา ปายาสปฏิคฺคหณทิวเสเยว ปตฺตสฺส อนฺตรหิตตฺตา "น โข ตถาคตา หตฺเถสุ ปฏิคฺคณฺหนฺติ, กิมฺหิ นุ โข อหํ ปฏิคฺคเณฺหยฺยนฺ"ติ จินฺเตสิ. เพราะบาตรได้อันตรธานหายไปในวันรับข้าวปายาส พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงดำริว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รับที่มือ เราจะรับที่อะไรหนอ.

[2] ภควา ปายาสปฏิคฺคหณทิวเสเยว เทวทตฺติยสฺส ปตฺตสฺส อนฺตรหิตตฺตา "น โข ตถาคตา หตฺเถสุ อาหารํ ปฏิคฺคณฺหนฺติ, กิมฺหิ นุ โข อหํ อิมํ

ปฏิคฺคเณฺหยฺยนฺ"ติ จินฺเตสิ.เพราะเหตุที่บาตรที่เทวดาถวาย ครั้งทรงรับข้าวมธุปายาส อันตรธานไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า

พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่รับอาหารด้วยมือเปล่า เราจะพึงรับอาหารนี้ได้อย่างไรหนอ.

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑ บาตรดินที่มาและบาตรศิลาที่(หาย)ไป

 

บาตรศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า

ตอนที่ ๑ บาตรดินที่มาและบาตรศิลาที่(หาย)ไป

 

บาตรเป็นบริขารที่สำคัญ

              บาตรเป็นบริขารดั้งเดิมคู่กับไตรจีวรสำหรับผู้ที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุจำจะต้องมีไว้ก่อน เพราะการอุปสมบทแบบญัตติจตุตถกรรมวาจา เมื่อไม่มีบาตรและจีวรพระอุปัชฌาย์ก็จะไม่ให้บวช บาตรนั้นพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ๒ ชนิด คือ บาตรดินเผา [ สุมดำสนิท ] ๑ บาตรเหล็ก ๑ ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย ไม่หรูหรา และปลอดภัย

Gandhara Relief of Buddha Eating with Monks

ที่มาภาพ https://www.worldhistory.org/image/4039/gandhara-relief-of-buddha-eating-with-monks/

ทรงห้ามไม่ให้ใช้ของอื่นแทนบาตร เช่นกะทะดิน กะโหลก น้ำเต้า กะโหลกหัวผี รวมถึงบาตรชนิดอื่นก็ห้ามไม่ให้ใช้ ระบุชื่อไว้ในบาลี ๑๑ อย่าง คือ บาตรทอง บาตรเงิน บาตรแก้วมณี บาตรแก้วไพฑูรย์ บาตรแก้วผลึก บาตรแก้วหุง บาตรทองแดง บาตรทองเหลือง บาตรดีบุก บาตรสังกะสี บาตรไม้

 

บาตรของพระพุทธเจ้า

แม้พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงใช้บาตรซึ่งถือเป็นภาชนะสำคัญในการภิกขาจารหรือเดินรับอาหารจากผู้ศรัทธาเพื่อดำรงชีพ เช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย ในพุทธประวัติและพระสูตรต่างๆ กล่าวถึงเหตุการณ์กล่าวว่า การมีบาตรของพระบรมศาสดาไว้ ๒ ครั้ง คือ

Prince Siddhartha shaves his hair and becomes a sramana. Borobudur, 8th century

ที่มาภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/Gautama_Buddha#/media/File:Siddharta_Gautama_Borobudur.jpg

ครั้งแรกเมื่อเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช ทรงตัดโมลีถือเพศบรรพชา ณ ฝั่งน้ำอโนมา ฆฏิการพรหมอดีตสหายเก่าในชาติก่อนได้มาถวายอัฏฐบริขาร ซึ่งถือว่าเครื่องใช้สอยของนักบวชและพระภิกษุ มี ๘ อย่าง คือ บาตร และบริขารอื่นอีก ๗ คือ จีวร สังฆาฏิ สบง มีดโกน หรือมีดตัดเล็บ เข็ม ประคดเอว กระบอกกรองน้ำ ทรงใช้บาตรนั้นซึ่งถือเป็นภาชนะสำคัญในการภิกขาจารหรือเดินรับอาหารจากผู้ศรัทธาเพื่อดำรงชีพอยู่ถึง ๖ ปีในช่วงก่อนที่จะตรัสรู้

และบาตรใบนั้น ได้มีหลักฐานระบุว่าเป็น บาตรดิน มีข้อความปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาปรมัตถโชติกา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ว่า “ท่านอธิบายไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ทรงห่มผืนหนึ่ง ทรงกระทำจีวรขันธ์ คล้องบาตรดินที่พระอังสา ทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต”  (เอกํ กาสาวํ นิวาเสตฺวา เอกํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เอกํ จีวรํ ขนฺเธ กริตฺวา มตฺติกาปตฺตํ อํเส อาลคฺเคตฺวา ปพฺพชิตเวสํ อธิฎฺฐาสีติ วุตฺตํ โหติฯ)

Offering of the Four Bowls Gandhara Archives Kurita

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/389772542735704899/

ครั้งที่ ๒ หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ แล้วเสวยวิมุตติสุขในสถานที่ต่างๆ ครั้นที่ต้นไม้ราชายตนะ ทรงใช้บาตรศิลาซึ่งถวายโดยท้าวจตุโลกบาล ๔ ใบ แล้วทรงอธิฐานให้ซ้อนรวมเป็นใบเดียวกัน เพื่อรับสัตตุก้อนสัตตุผงจากอุบาสก ๒ พี่น้องพ่อค้า คือ ตปุสสะและภัลลิกะ หลังจากนั้นมาพระพุทธเจ้าก็ทรงใช้บาตรนั้นรับภัตตาหารมาตลอดพระชนม์ชีพ ยังไม่ปรากฏพบหลักฐานว่า มีบาตรใบอื่นอีกเลยตลอดพระชนมายุของพระองค์จนกระทั้งเสด็จดับขันธปรินิพพาน

 

Gandharan Schist Lintel Depicting the Division of the Buddha's Relics

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/124271270951567224/

 

หลักฐานที่มี ระบุที่อยู่ตรงไหน?

ในคัมภีร์พุทธวงศ์ ขุททุกนิกาย ธาตุภาชนียกถา ว่าด้วยการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ระบุไว้ว่ามีการแบ่งพระบรมสารีกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุ พระเกศาพระโลมา และพระบริขารอื่นๆ ไปสร้างพระสถูปตามที่ต่างๆ ทั้งในจักรวาลอื่นๆ เทวโลกและโลกมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์และเทวาทั้งหลายได้ทำการบูชา เกิดเป็นพุทธานุสติและก่อเกิดกุศลผลบุญมากมาย และในส่วนของบาตรจีวรและไม้เท้าของพระผู้มีพระภาคเจ้า ระบุว่าอยู่ที่วชิรานคร (วชิรายํ ภควโต ปตฺโต ทณฺโฑ จ จีวรํ) ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วในคัมภีร์พระไตรปิฏกและอรรถกถาก็ไม่ได้ระบุลงไปอย่างชัดเจนว่า เมืองวชิรา นี้อยู่ที่ตรงในแคว้นใดในครั้งพุทธกาล

 

พระอานนท์ผู้ถือบาตรและจีวรพุทธเจ้า

แต่ถ้าวิเคราะห์ตามหลักฐานในคัมภีร์อื่นๆ แล้ว จะพบหลักฐานรายละเอียดเพิ่มเติมว่า หลังการปรินิพพาน เมื่อถวายพระเพลิงพุทธสรีระแล้ว โทณพราหมณ์ได้ทำหน้าที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุและเถ้ากระดูกจากพระพุทธสรีระ เพื่อนำไปสร้างสถูปรำลึกในหลายแคว้นนั้น ซึ่งเรียกกันว่า "ธาตุเจดีย์" ส่วนบริขารเครื่องใช้ของบรรพชิตที่ทรงใช้ระหว่างทรงพระชนม์ชีพนั้นถูกเรียกว่า "บริโภคเจดีย์" และหนึ่งในบริขารสำคัญที่เหลืออยู่คู่กับจีวรก็คือ บาตรพระพุทธเจ้า

ที่มาภาพ https://www.nationthailand.com/perspective/30331957

 

ต่อมาปรากฏหลักฐานทางคัมภีร์สมันตปาสาทิกา สุมังคลวิลาสินี และสารัตถปกาสินีเป็นต้นว่า พระอานนท์ได้นำบาตรและจีวรของพระพุทธเจ้าติดตัวเดินทางไปปลอบโยนพุทธบริษัทในที่ต่างๆ เช่นเมืองสาวัตถีเป็นต้น ที่เศร้าโศกเพราะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้ว แล้วจึงเข้าไปยังพระเชตวันวิหาร เปิดพระทวารแห่งพระคันธกุฎีที่พระทศพลประทับแล้วนำเตียงตั่งออกเคาะปัดกวาดพระคันธกุฎี ทิ้งขยะคือดอกไม้แห้ง นำเตียงตั่งเข้าไปตั้งไว้ตามเดิมอีก ได้กระทำวัตรปฏิบัติทุกอย่างที่ควรทำ เหมือนในครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่

และเพื่อบูรณะซ่อมแซ่มพระวิหารต่างๆ ที่ชำรุดทรุดโทรม หลังจากที่คณะสงฆ์ประกาศจะทำสังคายนา ท่านพระอานนท์ จึงได้หลีกไปอยู่ที่ราวป่าบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหัตเพื่อจะได้มีสิทธิ์เข้าร่วมสังคายนาครั้งแรกที่ถ้ำสัตตบรรณคูหาที่เมืองราชคฤห์พร้อมพระอรหันต์ ๕๐๐ รูปหลังพุทธปรินิพพานมาได้ ๓ เดือน

ที่มาภาพ https://www.pinterest.com/pin/389772542735713113/

 

บาตรพุทธเจ้าหายไปไหน ?

เมื่อคราวที่พระอานนท์อายุได้ ๑๒๐ ปี คือราว ๔๐ ปีหลังพุทธปรินิพพานเพราะตามประวัติแล้วพระอานนท์เป็นหนึ่งในสหชาติคือผู้ที่เกิดพร้องกับเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านพระอานนท์ได้เดินทางกลับมาปรินิพพานด้วยเตโชธาตุ บนอากาศเหนือแม่น้ำโรหินี เพื่อจะไม่ให้หมู่พระญาติทะเลาะในการแบ่งพระธาตุ จึงอธิฐานให้พระธาตุแบ่งตกไปเป็น ๒ ฝั่งแม่น้ำให้หมู่พระญาติได้นำไปสร้างสถูปไว้บูชา หลังจากพระอานนท์ปรินิพพานแล้วนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีการกล่าวถึงบาตรของพระพุทธเจ้าอีกเลย                                                     

โปรดติดตามตอนต่อไป

ตอนที่ ๒ บาตรพุทธเจ้าบริขารในดอกบัวต้นกัป ?

https://panyainpang09.blogspot.com/2021/06/blog-post.html

ตอนที่ ๓ บาตรสิลามีที่มาอย่างไร ?

https://panyainpang09.blogspot.com/2021/06/blog-post_30.html

ตอนที่ ๔ บาตรพระพุทธเจ้าช่วยปัดเป่าอุปัทวะ

https://panyainpang09.blogspot.com/2021/07/blog-post.html