วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จุดเริ่มต้น...ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจวัดผิด จากการพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์


จุดเริ่มต้น...ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจวัดผิด จากการพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์

     เรื่องวัดพระธรรมกายรังแกชาวนา ได้ตกเป็นข่าวเกรียวกราว จนยอดขายหนังสือพิมพ์พุ่งพรวดหลายวันติดต่อกันและตามมาติดๆ ด้วยข่าววัดสะสมอาวุธสงคราม
มีสถานีวิทยุส่งคลื่นสัญญาณเพื่อก่อการร้าย!!

..และนับแต่นั้นมา ก็มีคนเข้าใจ
ภาพลักษณ์ของวัดผิดๆ แบบชนิดฝังใจมาจนกระทั่งปัจจุบัน!!

    แต่ในทางกลับกัน มีคนจำนวนหลายหมื่นเข้าวัดอย่างเหนียวแน่น และต่อเนื่องมาโดยตลอด
อีกทั้งคนกลุ่มนั้นยังเป็นถึงกลุ่มปัญญาชน มีทั้งระดับดอกเตอร์ ระดับมันสมองของเมือง
กลุ่มคหบดีผู้มั่งคั่งของประเทศ หรือแม้กระทั่งชาวบ้านระดับรากหญ้า ต่างก็กรูกันเข้าวัดด้วยกระแสศรัทธาอันแรงกล้าจำนวนเรือนแสน
จากประเด็นที่เป็นปมคาใจอย่างไม่จบสิ้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ทางทีมงานขออนุญาตเป็นตัวแทนสื่อมวลชนทุกแขนง
       ในการเจาะข้อมูลในระดับลึกแบบคำต่อคำ จากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุการณ์นั้น ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ระดับสูงของบ้านเมือง ที่มีฉายาทางการเมืองว่า"คลังสมองแห่งชาติ" หรือ "ลูกหม้อ ของกระทรวงมหาดไทย" ..ท่านโกสินทร์ เกษทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน ซึ่งดำรงตำแหน่งมาถึง ๒ สมัยแล้ว
      จากประวัติและผลงาน อันเป็นที่ประจักษ์ โดยเริ่มต้นจากปลัดอำเภอ ทยานสู่ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ในปัจจุบัน ทำให้ท่านรู้เรื่องงานของทุกกรมที่เกี่ยวข้อง ในกระทรวงมหาดไทย โดยเริ่มจากการเป็นนายอำเภอมาหลายแห่ง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมาหลายจังหวัด จังหวัดสุดท้าย
ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอธิบดีคนแรก ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คือจังหวัดเชียงใหม่
ท่านมี ผลงานฝากไว้ในแผ่นดินมากมายอาทิเช่น การแก้ปัญหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุด
ในรอบ ๑๐๐ ปีของจังหวัดศรีษะเกษ

     แก้ปัญหาวาตภัยโคลนถล่มครั้งใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่ การขุดลอกลำน้ำที่เป็นสายโลหิตใหญ่ของเมืองเหนือคือ แม่น้ำปิง และลอกคูคลองทั้งจังหวัดเชียงใหม่ บรรเทาภัยหนาว แก้ปัญหาสภาวะภัยแล้ง
ยกระดับและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย ลดอุบัติเหตุจราจรบนท้องถนน ตามจับวัยรุ่นตาม เธค ผับ ที่มั่วกันเสพยา ด้วยตัวของท่านเอง

    ดำเนินงานบำบัดผู้ติดยา เสพติดหลายพันคน จัดโครงการนำพาเด็กนักเรียนเยี่ยมคุก จัดอบรมจริยธรรมให้เยาวชนแก้ปัญหาความยากจน ตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำโครงการคืนน้ำใส ให้ห้วยแก้ว ซึ่งเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่ แต่กลับเป็นน้ำตกที่แห้งขอดมานานถึง ๒๕ ปี ซึ่งนับเป็นงานที่ยากมากที่ใครจะทำได้สำเร็จ เพราะท่านต้องแก้ไขปัญหานี้ท่ามกลางผู้เสีย ผลประโยชน์หลายฝ่าย
      แต่ด้วยอัธยาศัยที่เป็น คนตรง มีความจริงใจกับทุกคน กล้าได้กล้าเสีย ยึดความถูกต้อง ทำงานแบบทุ่มชีวิตของท่านนี้ ทำให้ท่านสามารถทำงานสำเร็จลุล่วงมาได้ทุกครั้ง

     ท่านมีผลงานที่นำความภูมิใจมาสู่ชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในผลงานนั้นก็คือการช่วยให้ความเป็นธรรมใน "กรณีวัดพระธรรมกาย"!!

      "ผมเป็นนายอำเภอมาหลายจังหวัด จนกระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ขอย้ายผมมาเป็นนายอำเภอคลองหลวง โดยท่านให้ช่วยมาจัดการปัญหา ด้านการบุกรุกที่ดินสาธารณะในเขตนวนคร และปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งคือ ปัญหาชาวนากับวัดพระธรรมกายที่กำลังเป็นข่าวไม่จบไม่สิ้น
ซึ่งผมก็ได้ข่าววัดจากหน้าหนังสือพิมพ์ และคนรอบข้าง ที่ล้วนแล้วแต่เป็นข่าวทาง ด้านลบทั้งสิ้น
แม้ตอนเพิ่งย้ายมาที่นี่ใหม่ๆ แต่ละคนก็ด่าวัด ด่าพระให้ผมฟังทุกวัน เขาพูดแรงจนกระทั่ง ทำให้ผมมาคิดว่า ผมน่าจะเข้าไปดูหน่อย หากวัดไม่ดีมากขนาดนี้วัดคงอยู่ไม่ได้ แต่นี่ยังอยู่ได้ แสดงว่าต้องมีอะไรดีอยู่บ้าง
     ผมจึงให้คนขับรถพาผมเข้าวัด โดยที่วัดเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรทั้งสิ้น เมื่อไปถึงผมก็สำรวจโน่น สำรวจนี่ เดินไปเดินมาจนมาเจอเด็กวัดที่เรียกกันว่าอุบาสก ซึ่งเรียนจบถึงปริญญาตรีจากจุฬาฯ คณะสัตวแพทย์ ปัจจุบันท่านบวชอุทิศชีวิตแล้ว ชื่อพระอาจารย์สุรัตน์ อคฺครตโน ซึ่งตอนนั้นผมประทับใจท่านมาก ที่ได้เข้ามาทำการต้อนรับถามไถ่ พาผมไปดูสไลด์ประวัติการสร้างวัด พอดูเสร็จผมก็บอกให้เขาช่วยพาไปดูใต้โบสถ์หน่อย เพราะร่ำลือกันว่าเป็นที่ซ่อนอาวุธสงคราม เป็นสถานีวิทยุส่งสัญญาณก่อการร้าย

      พอเปิดเข้าไปไม่เห็นเจออย่างที่ลงข่าว เลย เจอแต่เสื่อ และก็กระเบื้องที่เอาไว้ซ่อมโบสถ์และเครื่องอัฐบริขาร จากนั้นผมเลยถามเขาต่อว่า พระที่นี่พักกันที่ไหน จำวัดกันอย่างไร เพราะร่ำลือ กันว่า พระที่นี่กินอยู่สบาย กินข้าวร้อน นอนตื่นสาย ติดแอร์นอน ซึ่งพอเขาพาไปดู ก็เป็นเพียงกุฏิหลังคามุงด้วยใบจาก  เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกลด เอาไว้นั่งสมาธิ และเอาไว้จำวัดกันในนั้นเลย พอเห็นประจักษ์อย่างนี้ ผมก็เลยทักขึ้นว่า  พระจำวัดกันอย่างนี้หรือ ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย คือไม่เห็นเหมือนกับข่าวลือที่เขาบอก และเมื่อผมดูอะไร ทุกอย่างเสร็จ จนหายสงสัยแล้ว

   ผมจึงเข้าไปพบหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย"จากเดิมทีเดียววัดมีเนื้อที่ ๑๙๖ ไร่ ต่อมามีคนเข้าวัดจนล้น จึงมีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่ เพราะคนมามากจะไปห้ามไม่ให้เขามา หรือเขามาแล้วจะไปไล่เขาไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่พระจะไปทำอย่างนั้น
     ดังนั้นจึงทำการขอซื้อที่ดินกึ่งบริจาคจากเจ้าของที่ โดยสาธุชนที่มาวัดกันในสมัยนั้น ก็ เห็นพ้องต้องกัน ยินดีช่วยกันบริจาคเงินด้วยจิตศรัทธาเชิญชวนญาติพี่น้องให้เข้ามาช่วยขยายพื้นที่จำนวน ๒,๐๐๐ ไร่
"..ซึ่งหลังจากมีการซื้อที่ดินแล้ว วัดถูกมอง ว่าเป็นวัดรวย คนรอบข้างวัด ก็คิดหาประโยชน์จากการขยายพื้นที่ทันทีโดยมีนายใหญ่สมคบกับ นายบานเย็น นักก่อม็อบ โวยวายหาว่าวัดรังแกชาวบ้าน วัดขับไล่ชาวบ้านอย่างไม่เป็นธรรม  หนำซ้ำยังเรียกหนังสือพิมพ์ไปทำข่าว ว่าจะ กระโดดตึกห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แถวปิ่นเกล้า กทม. เพราะทนวัดรังแกไม่ไหวจนเป็นข่าวพาดหัว หนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน ตามด้วยข่าววัดสะสมอาวุธสงคราม ซึ่งตอนนั้นคนก็เชื่อกันเหลือเกิน..."

      ในฐานะที่ผมเป็นนายอำเภอของที่นี่ ก็เข้ามาศึกษาข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่แรก มาอ่านคำร้องของชาวนา มาดูในเรื่องกฎหมายการเช่า พบว่าหลังจากมีการซื้อที่ดินแล้ว ชาวนาที่เคยเช่าที่ดินกับเจ้าของเดิมไม่ยอมออก ซึ่งคณะกรรมการ จัดซื้อที่ดินก็เห็นใจและได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยได้ทำหนังสือแจ้งให้ ผู้เช่านารู้ล่วงหน้าก่อนถึง ๗ ปี ว่าจะเลิกสัญญาเช่าซึ่งคณะกรรมการฯ ก็ยอมเริ่มนับหนึ่งให้พวกเขาใหม่ แต่เมื่อรอจนถึง ๗ ปี เขาก็ไม่ยอมออก ก็ไม่ว่าอะไร จึงรอเพิ่มอีกหลายปี ซึ่งเขาก็ไม่ยอมออกอีก ทั้งๆ ที่คณะกรรมการฯ ยอมจ่ายค่ารื้อถอนบ้านให้หลังละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท

      ทำให้มีชาวบ้านหัวใสเอาลังสบู่ มาตอกเป็นบ้านผุดขึ้นในช่วงข้ามคืนอีกหลายหลัง เพื่อนำมาเรียกร้องค่ารื้อถอนกับคณะกรรมการฯ ซึ่งผมไปดูพื้นที่เองทำให้เห็นกับตาแต่คณะกรรมการฯ ก็ยอมจ่ายให้ไม่เอาเรื่อง เพราะพวกชาวบ้านรู้ว่า ยังไงคณะกรรมการฯ ก็ต้องยอม เพราะคณะกรรมการฯ กลัวเสียชื่อเสียง มากไปกว่านั้นคนกลุ่มนี้ยังวางแผนเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ที่ระบุไว้ตามกฎหมายเลย อีกทั้งยังก่อเรื่องให้เป็นข่าวพาดหัว ให้วัดเสียชื่อเสียงไม่เว้นแต่ละวัน

   แต่ผม..ในฐานะผู้รักษากฎหมาย เห็นความไม่เป็นธรรมอย่างนี้ ก็ทนไม่ได้ จึงไปกราบหลวงพ่อ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสว่าผมจะไปอัดมัน  ท่านก็ดีแสนดี หลวงพ่อท่านก็ห้ามว่า อย่าๆๆ อย่าไปผูกเวรกับเขา เขาจะขอหลังละเท่าไหร่ ถ้าเหมาะสม ก็จะบอกบุญกับเจ้าภาพช่วยกัน เมื่อผมฟังอย่างนี้ ผมจึงเสนอว่าให้เอาเงินไปไว้ที่ศาลให้ศาลเป็นผู้จ่ายให้ หลังละ ๘๐,๐๐๐ บ้าง ๑๐๐,๐๐๐ บ้าง พวกนั้นก็รีบตาลีตาเหลือกไปรับเงินมาจนครบ

    ผมก็นึกว่าเรื่องจะจบ แต่ที่ไหนได้มารับเงินไปเรียบร้อยหมดแล้ว มีอยู่ประมาณ ๑๐ หลัง ไม่ยอมย้ายออกจากทั้งหมด ๖๐ กว่าหลัง ผมจึงต้องรื้อแล้วครับ เพราะถือว่าศาลได้ตัดสินให้ออกแล้ว

     เมื่อเหตุการณ์ออกมาในรูปแบบนี้ จะไปพูดว่าวัดรังแกชาวนาได้ยังไง แต่กลายเป็นอันธพาลมารังแกวัดถึงจะถูก  เพราะผมเองเป็นผู้รู้เห็น และเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ หลายๆ เหตุการณ์ ตั้งแต่ชาวนามารื้อถอนสระบัวในวัด จับปลาปิ้งย่างกินแกล้มเหล้าในวัด แล้วด่าพระว่า ไอ้โล้น ต่างๆ นานา พอวัดสร้างรั้วกั้นไม่ให้เข้า ก็ยกพวกกันมารื้อถอนจนรั้วล้มเป็นแถว วิ่งเข้ามาทุบพระพุทธรูป ขโมยของวัด

    แม้วันงานทอดกฐินของวัดก็ยังไม่เว้น วิ่งโร่ถือคบเพลิงเข้ามาเผากุฏิไป ๒ หลัง พระเณรหนีเกือบไม่ทันแทบจะถูกไฟคลอกตายในกุฏิหลังคาจากซึ่งตอนนี้คนก่อกรรมก็ได้รับกรรมอย่างน่าสงสารให้เห็นๆ กันแล้วในชาตินี้"

    มา ณ วันนี้ แม้กรณีชาวนาจะยุติไปแล้วก็จริง แต่ภาพลักษณ์ของวัดก็ยังไม่ถูกแก้เลยเพราะข้อมูลแนวลึกแบบนี้ ยังไม่ถูกเปิดเผยใน แนวกว้างเพราะธรรมชาติของหนังสือพิมพ์ของ บ้านเรา อะไรที่เป็นข่าวแนวลบ โหด โฉด แรงๆ หากนำมาพาดหัวข่าว จะทำให้หนังสือพิมพ์ขายดี    ส่วนข่าวด้านดี หรือการแก้ข่าว ก็จะนำเสนอบ้างเป็น มุมเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยเห็น ทำให้คนไม่ได้อ่านกัน"

"..นับจากนั้นเอง วัดก็ถูกจับตามองเรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ดูเป็นผิดไปหมดอย่างเช่น อยู่ๆ ก็มีคนถามผมว่า เดี๋ยวนี้วัดพระธรรมกายขายที่ดินบนสวรรค์หรือ..?  ผมฟังแล้วก็นึกหัวเราะ ลองนึกถึงหลักความจริงดูเถิดว่า ใครจะบ้าไปขายที่บนสวรรค์ หากขายจริง..ใครจะบ้าไปซื้อ

     สรุปก็คือวัดทำอะไร ก็ถูกมองในแง่ลบตลอด เป็นข่าวลือผิดๆ ตลอดเวลาซึ่งคนที่พูดๆ กัน ก็ยังไม่เคยมาวัดเลย และเมื่อมาพูดถึงเรื่องการโดนโจมตี พระที่เป็น นักปฏิบัติ เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็ไม่เห็นมีใครมาว่าร้ายหลวงพ่อสักรูป

     ผมว่าให้ลองทำใจกลางๆ แล้วมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง มาลองนั่งสมาธิดูก่อน อย่าไปเชื่อข่าว หรือฟังคนนั้นคนนี้พูด เพราะจะเป็นบาปกับตัวเอง แล้วยังเป็นการตัดโอกาสในการสร้างบุญของตัวเองไปอีกด้วย
ผมยิ่งมาวัดนี้..ผมยิ่งประทับใจ อย่างเช่น งาน อปท. ที่เพิ่งผ่านไป ถามว่าหากต้องเตรียมการต้อนรับคนเกือบ ๘๐,๐๐๐ คนให้ดี ต้องทำอย่างไร ..

      แค่คิดจะชงกาแฟให้ทุกคนๆ ละแก้ว ให้ ได้ดื่มพร้อมๆ กัน ก็ยากแล้ว แต่วัดพระธรรมกาย ทำได้ สามารถแจกข้าว แจกน้ำ แจกขนม ให้คน ๘๐,๐๐๐ คน พร้อมๆ กันภายในเวลาไม่ถึง ๑๕ นาทีเสร็จได้อย่างเรียบร้อย และหากไปเจาะถึงเบื้องหลังการเตรียม การทำอาหารที่นำมาแจก ทุกมื้อ ที่มีปริมาณมากขนาดให้คนกินพอ ๘๐,๐๐๐ คน ในระยะเวลาที่มีจำกัดมากๆ ก็จะยิ่งทึ่งใหญ่ว่าเขามีวิธีการทำอย่างไร จนทำให้ย้อนนึกไปถึงผู้ที่มาบริหารจัดระบบ จะต้องเป็นคนไม่ธรรมดา แน่ๆ ซึ่งก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง"

      ตลอดระยะเวลาที่ผมเข้าวัดนี้มายาวนาน กว่า ๒๓ ปี ทำให้ผมได้คลุกคลีกับวัดอย่างใกล้ชิดมาตลอด มาฟังธรรม มานั่งสมาธิทุกอาทิตย์ต้นเดือนและได้ไปปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์หลายครั้ง จนทำให้ผมซาบซึ้งในหลักธรรม ทำให้ผมได้ซึมซับหลักการบริหารด้วยธรรมะของหลวงพ่อไปใช้ เพราะงานของผมเป็นงานใหญ่ๆ ที่ต้องแก้ปัญหาอย่างปัจจุบันทันด่วนตลอดเวลา เป็นงานที่เสี่ยง ชีวิตมากๆ ซึ่งเมื่อผมมาคิดย้อนหลังดู มีหลายครั้งที่เหมือนตัวเองเจอปาฏิหาริย์ ทำงานได้สำเร็จและรอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

     การทำงานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านมองแบบบูรณาการก้าวโพ้นไปในอนาคตมากๆ อะไรที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสังคมท่านทำทันที เช่น รายการธรรมะผ่านดาวเทียมที่เรียกว่า DMC เป็นสื่อสีขาวที่ผลิตขึ้นมาช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศที่ต้นเหตุ คือเป็นการทำให้คนในชาติกลัวบาปกลัวกรรม ไม่กล้าทำชั่ว แล้วหันมาทำแต่ความดีต่อกัน

     เมื่อเป็นอย่างนี้ ปัญหาของประเทศก็จะลดลงไปมาก ส่วนการแก้ปัญหาของสังคมด้านอื่นท่านก็ไม่ทิ้ง อีกทั้งยังทำอย่างต่อเนื่อง มาหลายสิบปีแล้ว เช่น การช่วยภัยน้ำท่วม ซึ่งผมเองยังเคยต้อนรับมูลนิธิธรรมกาย ที่ได้ไปช่วยประชาชนตอนเดือดร้อน เพราะน้ำท่วมใหญ่ที่ศรีษะเกษและเชียงใหม่

ในช่วงที่ผมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ที่นั่น และมากไปกว่านั้น วัดยังได้ช่วยเหลือคนไทย ที่ประสบภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ช่วยภัยวัดภาคใต้ ๒๖๖ วัด ที่กำลังเดือดร้อน ในขณะนี้ทุกเดือนจนถึงปัจจุบัน โดยให้ช่วยกันทำบุญวัดละ ๑ บาท คือ ใครมีเพียง ๑ บาท ก็มีสิทธิ์ได้บุญแล้ว ท่านไม่ได้บังคับใคร

    แม้ใครไม่มีจริงๆ ก็มาเป็นอาสาสมัครช่วยงานวัด ท่านก็ไม่ว่า อีกทั้งท่านยังรณรงค์ให้คนเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ ด้วยโครงการเทเหล้าเผาบุหรี่ ปิดซ่อง ปิดบ่อนไก่ ซึ่งโครงการเหล่านี้ มีผู้เสียผลประโยชน์ กลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านท่านมาก แต่ท่านก็กล้าทำ เพื่อแก้ปัญหาครอบครัว และปัญหาสังคมในระดับลึก จนกระทั่งได้รับรางวัล World No Tobacco Day Awards 2004 จากองค์การอนามัยโลกและรางวัลมหาตมะ คานธีเพื่อสันติภาพ ในฐานะที่เป็นผู้อุทิศตนให้กับการพัฒนาและปลูกฝังศีลธรรมแก่เยาวชนมากว่า ๔๐ ปี..

     มากไปกว่านั้นท่านยังพื้นฟูพระพุทธศาสนาแบบบูรณาการโดยการนิมนต์พระจากทั่วประเทศครั้งละหมื่นรูป แสนรูป มาพูดคุยกันเพื่อค้ำจุนศาสนาพุทธไม่ให้ไปถึงจุดเสื่อม และยังมีโครงการอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งท่านได้ทำถึงขนาดนี้ แต่กลับมีคนโจมตีท่านตลอดเวลา ว่าท่านชวนคนทำบุญมากเกินไป วัดนี้รวยแล้ว แต่หากมาดูกันอย่างผู้มีปัญญา ในมุมมองของนักพัฒนาแผ่นดินแล้ว ก็พอจะคำนวณออกว่าโครงการทั้งหลาย ที่ท่านทำไป เพื่อประโยชน์กับสังคม ประเทศชาติ และคน ทั่วโลกขนาดนี้ ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่

     ซึ่งหากได้เข้าวัดเป็นประจำจริงๆ ก็จะรู้ว่า เงินที่บริจาคมาไม่เพียงพอต่อโครงการ ที่จะเข้ามาเยียวยาและแก้ไขปัญหาของประเทศ ในแง่ของการฟื้นฟูศีลธรรมมนุษย์เลย"

     จากการได้รับอนุญาตให้เข้าพบและพูดคุยกันที่บ้านของท่านโกสินทร์ เกือบ ๔ ชั่วโมงในครั้งนี้ นับว่าคุ้มค่ามาก เพราะเมื่อเรียบเรียงเรื่องนี้เสร็จ ก็มีความคิดว่าอยากจะส่งบทความนี้ให้คน ๖ พันล้านคนทั่วโลกหรือสื่อมวลชนทุกแขนงได้รับทราบ ไม่ใช่เพื่อเป็นการแก้ข่าววัด แต่เพื่อให้คนไทยทุกๆ คน ได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งบ้าง

   และอยากจะให้มาคิดอีกมุมหนึ่งว่า หากมีวัดๆ หนึ่งที่คิดจะทำประโยชน์ให้สังคม และชาวโลกด้วยความตั้งใจดี จะเป็นการดีกว่าไหม ที่ควรหันมาช่วยกันปรับปรุงพัฒนา ให้บังเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับพระพุทธศาสนา กับแผ่นดินของเรา ดีกว่าการคิดทำลายว่าร้ายคนไทย ด้วยกันเอง เพราะความเข้าใจผิด หรือได้รับข้อมูลในทางที่ไม่ถูกต้อง

     ถึงเวลาแล้วที่คนไทยเราทุกคน ควรร่วมมือกันสมานฉันท์ เพื่อตัวเรา เพื่อแผ่นดินของเรา เพื่อจะได้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นบนโลกของเราสักที

‪#‎ธรรมกาย‬
‪#‎เรารักพระพุทธศาสนา‬
‪#‎วัดพระธรรมกาย‬
‪#‎dhammakaya‬

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น