วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผมก็ถูกล้างสมองจริงๆ

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

"ผมก็ถูกล้างสมองจริงๆ สมองที่เคยคิดไม่ดีหายไปหมด เข้าใจการทำบุญมากขึ้น รู้จักการทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิอย่างเข้มข้นมากขึ้นแตกต่างจากเดิมที่ทำตามประเพณี จึงพยายามหาโอกาสมาวัดบ่อยขึ้นและมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนถึงทุกวันนี้"

 

 ผมมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกได้อย่างไร

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวของผมก่อนที่จะเข้ามาวัดพระธรรมกายเมื่อปี2542

ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนสายช่าง เกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง พ่อรับราชการ
มีนิสัยรักความสงบ ชอบธรรมชาติ ชอบการนั่งสมาธิ นับถือพระพุทธศาสนาไปทำบุญบ้างตามประเพณี รู้จักศีล5 แต่ก็ไม่ได้รักษาเคร่งครัด รู้ว่ามีนรก สวรรค์ แต่ไม่ค่อยอยากนะคิดถึงเท่าไหร่ หาความสุขให้กับชีวิตไปเรื่อยๆ
รักเพื่อน เฮไหนเฮนั่นตามประสาเด็กช่าง
มีนิสัยใฝ่ดีอยู่บ้างเพราะรักแม่ อยากให้แม่สบายจึงตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด จนสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ที่สถาบันแห่งหนึ่ง

เมื่อโตขึ้นมีความคิดมากขึ้น ก็ชอบคิดมากว่า
...เอเราเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต เราอยากเป็นอะไรกันแน่ อยากเป็นอะไรที่สามารถทำประโยชน์ให้กับสังคม ให้หลายคนในสังคมมีความสุข มากกว่าครอบครัวของเราครอบครัวเดียว แอบคิดว่าจบไปจะไปเป็นครูดีไหม หรือว่าจะเปลี่ยนสายไปเรียนอะไรที่จบแล้วไปเป็นนักการเมืองดีไหมจะได้ทำ ประโยชน์ให้กับประเทศชาติ คิดไปเรื่อยเปื่อย
แต่ก็ยังเรียนอยู่ที่เดิม

และที่นี่เอง ที่ผมได้เจอกับยอดกัลยาณมิตร มีนามสมมุติว่านายออดละกันนะ เป็นเพื่อนที่จบสายช่างเหมือนกันแต่คนละที่ เรียนคณะเดียวกัน แต่คนละเอก เค้าพักอยู่หอพักเดียวกันร่วมกับเพื่อนที่จบมาจากที่เดียวกัน รู้จักกันก็ทักทายกันตามปกติ รู้แค่ว่าเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน พูดเก่งดูท่าทางจะธัมมะธัมโมกว่าผมแน่ๆ

อยู่มาวันนึงก็ถึงจุดเปลี่ยน เพื่อนๆที่อยู่ห้องเดียวกับออด ขนข้าวขนของย้ายหนีออดไปหมด ทิ้งออดไว้คนเดียวพร้อมด่าทิ้งท้ายไว้ว่า
 "ไอ้ออดมันโดนล้างสมอง"
อะไรกันเพื่อนอยู่กันมา ทำไมทิ้งกันซะงั้นล่ะ ด้วยความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนๆถึงทิ้งไปหมด
แต่ออดก็ดูไม่ได้เสียใจอะไร กลับชอบมาชวนผมนั่งสมาธิ แถมชอบมาเล่าเรื่องพี่ๆที่ชมรมหนึ่งที่ร่วมกันทำความดี และเรื่องวัดพระธรรมกาย
ดูออดมีความสุข อบอุ่นใจ ผมจินตนาการตามที่ออดเล่าให้ฟังแต่นึกภาพไม่ออก
 "วัดมีคนเยอะๆ มารวมกันทำความดี มีวัยรุ่นหนุ่มสาวจากสถาบันต่างๆไปที่วัดนี้กันเยอะเลย"
 จนผมเกิดอยากไปดูให้รู้ ไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเป็นเช่นไร แล้วทำไมเพื่อนๆออดถึงด่าว่า
"ออดถูกล้างสมอง"
 ที่ออดเล่าก็มีแต่กิจกรรมดีๆ ทำความดี ชวนกันทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิอย่างจริงจังมากที่ผมเคยทำมาซะอีก

ผมเลยตัดสินใจตามออดไปที่ชมรมและร่วมกิจกรรมต่างๆของชมรม รู้สึกว่าชมรมนี้ดีนะ มีพี่ๆน้องๆที่เข้ามาในชมรมจากทุกคณะ อยู่กันแบบพี่ๆน้องๆ กลมเกลียวกว่าชมรมอื่นๆที่ผมเคยไปสัมผัสมา ดูไว้ใจได้คงไม่ล้างสมองผมง่ายๆหรอก
แต่ผมก็ยังไม่ได้ไปวัดพระธรรมกายตามที่ออดชวน

จนถึงช่วงสำคัญของปีที่หลายคนให้ความสนใจคือ วันที่คริสศักราชจะก้าวเข้าปี2,000ตรงกับปีพุทธศักราช2543 ช่วงปีใหม่แบบนี้ หลายคนก็ไปนับถอยหลัง countdown กับครอบครัว เพื่อนฝูงหรือคนที่รัก ผมไม่อยากนับถอยหลังอยู่ที่หอคนเดียว ตามออดไปวัดดีกว่า น่าจะสนุกกว่านะ

เมื่อมาถึงวัดพระธรรมกายครั้งแรกคือตอนดึกของวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2542
โอ้!!!ผมง่วงและตะลึงมาก ทำไมวัดนี้ใหญ่จัง คนมาเยอะจัง ทุกเพศทุกวัย มีนักศึกษารุ่นราวคราวเดียวกันจากหลายสถาบัน มาเป็นอาสาสมัครช่วยงานวัดกันเยอะเลย
ในวันที่ 31 ธันวาคม นั้นเองผมก็ได้ทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครของวัด ฝ่ายต้อนรับคนที่มาวัด และที่ประทับใจสุดๆ คือได้ต้อนรับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ทันที่ผมได้เห็นท่านนั่งรถผ่านไป เหมือนท่านมองมาทางผมด้วย ภายในใจมีเนื้อเพลงๆนึงของพี่เบิร์ดดังขึ้นมาว่า
"ฉันมาทำอะไรที่นี่ๆ"ดังซ้ำๆอยู่หลายรอบ จำไม่ได้ว่าชื่อเพลงอะไร
แต่ในใจมันบอกว่า "เรามีหน้าที่ๆต้องทำอยู่นะ เป็นหน้าที่ๆสำคัญ รีบกลับมาทำหน้าที่ได้แล้ว"
หลังจากนั่นผมก็ถูกล้างสมองจริงๆ สมองที่เคยคิดไม่ดีหายไปหมด เข้าใจการทำบุญมากขึ้น รู้จักการทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิอย่างเข้มข้นมากขึ้น
แตกต่างจากเดิมที่ทำตามประเพณี
จึงพยายามหาโอกาสมาวัดบ่อยขึ้น และมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนถึงทุกวันนี้

Cr.http://sornin.blogspot.com/2016/03/blog-post.html?m=1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น